ครูไพบูลย์ บุตรขัน ผู้ให้กำเนิดเพลงค่าน้ำนม

โพสเมื่อ : 2019-01-23 00:00:00

ประวัติ

ครูไพบูลย์ บุตรขัน เดิมชื่อ ไพบูลย์ ประณีต เกิดที่บ้านท้องคุ้ง ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เป็นบุตรของนายบุตร และนางพร้อม ประณีต ครอบครัวมีอาชีพทำนา มีฐานะยากจน มีพี่น้อง 3 คน เมื่ออายุได้ 6 ปี บิดาเสียชีวิต จึงได้รับการเลี้ยงดูโดยนายเจน บุตรขัน ผู้เป็นอา นำไปอยู่ที่อำเภอปทุมวัน กรุงเทพ และได้เปลี่ยนนามสกุลจากประณีต มาเป็นบุตรขัน

ไพบูลย์ บุตรขัน เริ่มศึกษาชั้นประถมต้นที่จังหวัดปทุมธานี ประถมปลายที่โรงเรียนสตรีปทุมวัน และศึกษาจนจบมัธยม 8 ที่โรงเรียนสวัสดิ์อำนวยเวทย์ กรุงเทพ และศึกษาดนตรีเพิ่มเติมจากครูพิณ โปร่งแก้วงาม ราวปี พ.ศ. 2476-2478 และเรียนวิชาดนตรีและโน้ตเพลงสากลเพิ่มเติมที่สมาคมวายเอ็มซีเอ แถบถนนวรจักร และได้ใช้โน้ตดนตรีประกอบการแต่งเพลงทุกครั้งตั้งแต่นั้นมา

หลังจากเรียนจบ ไพบูลย์ บุตรขัน ได้ทำงานเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนกว๋องสิว แล้วลาออกไปทำงานเป็นช่างไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าสามเสน แล้วลาออกไปทำงานกับคณะละคร คณะแม่แก้ว และคณะจันทโรภาส ของพรานบูรพ์ ทำหน้าที่เขียนบทละครวิทยุ และแต่งเพลง

งานเพลงของครูไพบูลย์ บุตรขัน เริ่มบันทึกแผ่นเสียงเมื่อประมาณ พ.ศ. 2490 จากการชักนำของ สวัสดิภาพ บุนนาค ซึ่งเป็นเพื่อนและน้องเขย เพลงในยุคแรกได้แก่เพลง "มนต์เมืองเหนือ" "คนจนคนจร" "ดอกไม้หน้าพระ" "ดอกไม้หน้าฝน" และ "ค่าน้ำนม" และได้รับการยกย่องว่าเป็นงานที่มีคุณค่า และได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน เช่น "โลกนี้คือละคร" (ขับร้องโดย ปรีชา บุณยะเกียรติ) "เบ้าหลอมดวงใจ" และ "มนต์รักลูกทุ่ง" (ขับร้องโดย ไพรวัลย์ ลูกเพชร) "ฝนเดือนหก" (ขับร้องโดย รุ่งเพชร แหลมสิงห์) "ยมบาลเจ้าขา" (ขับร้องโดย บุปผา สายชล)

"กลิ่นโคลนสาปควาย" (แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ขับร้องโดยชาญ เย็นแข) เป็นอีกผลงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งของของครูไพบูลย์ บุตรขัน ที่ทางราชการไทยเคยประกาศห้ามเปิดในช่วงการปราบปรามคอมมิวนิสต์ แม้จะมีการห้ามจากทางการแต่ยิ่งห้ามก็มีผู้ฟังซื้อแผ่นเสียงไปฟังเป็นจำนวนมาก เพลงนี้ยังได้รับยกย่องให้เป็นรากฐานของเพลงลูกทุ่งอีกด้วยเพราะในอดีตก่อน พ.ศ. 2500 นั้นเพลงในประเทศไทยยังมิได้แบ่งแยก ยุคสมัยที่ยังไม่ได้มีการแบ่งแยกเพลงลูกกรุงและเพลงลูกทุ่งออกจากกันอย่างชัดเจน

หลังจากเสียชีวิตไปแล้วหลายปี ในปี พ.ศ. 2532 เพลงของครูไพบูลย์ ได้รับรางวัลพระราชทานในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกไทย ถึง 10 เพลง ได้แก่ "ชายสามโบสถ์" (ขับร้องโดย คำรณ สัมบุญณานนท์) "น้ำตาเทียน" (ขับร้องโดย ทูล ทองใจ) "บ้านไร่น่ารัก" และ "เพชรร่วงในสลัม" (ขับร้องโดย ชินกร ไกรลาศ) "ฝนซาฟ้าใส" (ขับร้องโดย ยุพิน แพรทอง) "ฝนเดือนหก" (ขับร้องโดย รุ่งเพชร แหลมสิงห์) "บุปเพสันนิวาส" และ "มนต์รักแม่กลอง" (ขับร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ) "มนต์รักลูกทุ่ง" (ขับร้องโดย ไพรวัลย์ ลูกเพชร) และ "ยมบาลเจ้าขา" (ขับร้องโดย บุปผา สายชล) และในปี พ.ศ. 2534 ได้รับรางวัลจากเพลง "หนุ่มเรือนแพ" (ขับร้องโดย กาเหว่า เสียงทอง)

เพลงค่าน้ำนมเดิมไม่ใช่เพลงประจำวันแม่

เนื้อร้องของเพลงค่าน้ำนม ผลงานการประพันธ์ของครูไพบูลย์ บุตรขัน (4 กันยายน 2461 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2515) เรียบเรียงเสียงประสานโดย สง่า อารัมภีร และ ประกิจ วาทยกร (บุตรชายของพระเจนดุริยางค์)

เพลงค่าน้ำนมมีการขับร้องและบันทึกเสียงครั้งแรกโดย ครูชาญ เย็นแข เมื่อ พ.ศ. 2492 โดยในครั้งแรกครูไพบูลย์ บุตรขันตั้งใจจะให้ครูบุญช่วย หิรัญสุนทรเป็นผู้ร้อง หากแต่ครูบุญช่วย หิรัญสุนทรไม่สบาย จึงเปลี่ยนมาให้ครูชาญ เย็นแข เป็นผู้ร้องแทน

เพลงค่าน้ำนมได้ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนพ.ศ. 2492 โดยบริษัทนำไทย จำกัด แผ่นเสียงตราสุนัขสลากเขียว เป็นแผ่นครั่งขนาด 10 นิ้ว ความเร็ว 78 รอบต่อนาที ขายได้ 800 แผ่น ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากพอสมควร

วัตถุประสงค์ของการแต่งเพลงค่าน้ำนม

ครูไพบูลย์ บุตรขัน ได้แต่งขึ้นเพื่อมอบให้กับมารดาของครู คือ นางพร้อม ประณีต (ประณีตเป็นนามสกุลเดิมของครูไพบูลย์) ซึ่งเป็นผู้ดูแลครูไพบูลย์ บุตรขันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่วัยหนุ่ม ทั้งนี้เพราะครูไพบูลย์ป่วยเป็นโรคเรื้อนซึ่งเป็นที่รังเกียจของสังคม เพราะฉะนั้นครูไพบูลย์ บุตรขันไม่ได้ประพันธ์เพลงเพื่อแม่ของใคร แต่เพื่อแม่ของครูท่านเอง

ต่อมาในปีรุ่งขึ้นเมื่อมีการจัดกิจกรรมวันแม่แห่งชาติ 15 เมษายน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงได้เปิดเพลงค่าน้ำนม จึงทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงประจำวันแม่มาตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ตามเพลงค่าน้ำนม วัตถุประสงค์ในการประพันธ์ครั้งแรกไม่ใช่เพื่อร้องในงานวันแม่แห่งชาติ แต่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการดนตรีไทย คือเป็นการสะท้อนให้แนวคิดศิลปะเพื่อชีวิต ทั้งนี้เพราะก่อนหน้านี้เพลงที่ขับร้องกันมุ่งเน้นเพลงที่แสดงอารมณ์รักใคร่ในเชิงชู้สาวเป็นหลัก

อนึ่งสาเหตุที่ทำให้เพลงค่าน้ำนมดังเป็นอมตะ นอกจากเนื้อหาที่กินใจแล้วก็อาจจะเป็นเพราะ การแต่งเพลงที่มีเนื้อหาในทำนองแบบนี้ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด